การทำงานในองค์กรการกุศลนั้น หัวใจสำคัญคือการมีเงินหล่อเลี้ยงองค์กร แม้ฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่หาเงิน ก็ต้องมีความเข้าใจ และสนับสนุนฝ่ายระดมทุนด้วย เพื่อให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืน
องค์กรการกุศลแห่งหนึ่งหารายได้เข้าองค์กรได้ปีละไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ฝ่ายที่นำองค์กรคือ ฝ่ายระดมทุน ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายระดมทุนต้องแน่ใจเสมอว่า ทุกคนในองค์กรมีความเข้าใจ สนับสนุน และอาจช่วยระดมทุนด้วย รวมไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริจาคในทุกๆ จุดที่เกี่ยวข้อง เริ่มไปตั้งแต่พนักงานรับโทรศัพท์ พนักงานต้อนรับ พนักงานออกใบเสร็จ เป็นต้น แม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัย แม่บ้าน ก็ต้องทราบว่าการระดมทุนและการดูแลผู้บริจาคนั้นมีความสำคัญอย่างไร ในการวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณของฝ่ายระดมทุนประจำปีนั้น ทุกฝ่ายในองค์กรจะมีส่วนร่วม มีโอกาสให้ความเห็น แม้จะไม่มีพื้นฐานในการระดมทุนเลย เมื่อฝ่ายต่างๆ ได้มีส่วนร่วม ก็จะช่วยกันคิดหาเงินเพิ่มในมุมมองของตนเอง เช่น ฝ่ายโครงการคิดหาพันธมิตรเพื่อระดมทรัพยากรมาสนับสนุนงาน ฝ่ายการเงินและบัญชีช่วยคิดในเรื่องต้นทุนว่าเราจะประหยัดได้อย่างไร ฝ่ายจัดซื้อก็จะช่วยคิดต่อรอง supplier ฝ่าย IT อาจจะขอสนับสนุนสินค้าและการบริจาคจากบริษัทซอฟต์แวร์ ฮาร์ทแวร์ ที่ติดต่ออยู่ ฝ่ายบุคคลช่วยขอสนับสนุนกิจกรรม CSR จากบริษัทที่ติดต่อด้วย เช่น บริษัทประกัน หรือขอของขวัญจัดงานปีใหม่ให้พนักงาน เป็นต้น เพราะฉะนั้น แผนงานที่ออกมา จะไม่ได้มีความเห็นของฝ่ายระดมทุนเพียงฝ่ายเดียว เมื่อทุกคนเข้าใจ สนับสนุน จะทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่อีกองค์กร ฝ่ายต่างๆ ไม่เคยรับรู้ถึงความสำคัญของการระดมทุนเลย มีหน้าที่ใช้เงิน โดยไม่ทราบว่าการหาเงินนั้นได้มาด้วยความยากลำบาก เมื่อมีโอกาสช่วยประหยัดได้ก็ไม่เห็นว่าสำคัญ เมื่อได้รับบริจาคสิ่งของเป็นจำนวนมากที่เป็นประโยชน์และได้ใช้แน่นอน เช่น ยา เวชภัณฑ์ ก็ไม่อยากรับ เพราะยุ่งยากต้องหาที่เก็บ โดยเห็นว่าการใช้งบประมาณที่มีอยู่ซื้อเป็นครั้งคราวสะดวกกว่า หรือผู้บริจาคให้เงินทุนสนับสนุนและองค์กรควรต้องทำรายงานส่ง เพื่อให้เขาเห็นว่าเงินที่เขาให้ไปมีประโยชน์อย่างไร ก็ไม่ให้ความสำคัญที่จะเตรียมข้อมูลและส่งรายงานตามเวลาที่กำหนด ถึงแม้ว่าองค์กรจะหาเงินได้มาก แต่ทุกคนควรใช้เงินบริจาคที่ได้มาอย่างรู้คุณค่า ลองนึกถึงตอนที่เราจะบริจาคให้องค์กรใดองค์กรหนึ่ง เรายังใช้เวลาคิดพอสมควร เพราะเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเรา ดังนั้น ผู้บริจาคทั่วไปเขาก็คิดเช่นกัน และหากทุกคนในองค์กรไม่ช่วยกันรักษาผู้บริจาค เขาก็จะจากเราไปสนับสนุนองค์กรอื่น ซึ่งการหาผู้บริจาครายใหม่นั้นต้องลงทุนมากกว่าการรักษาผู้บริจาครายเดิม
หากคุณในฐานะที่เป็นผู้บริจาคได้ทราบถึงวัฒนธรรมองค์กรของทั้งสองแห่งนี้ คุณจะบริจาคให้องค์กรใด? คุณจะคำนึงถึงอะไรบ้าง?