ฟูโกต์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดผู้หนึ่งด้านโครงสร้างนิยม เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นชายขอบสังคม ที่เผยถึงกลไกการทำงานด้านที่เป็น “กระแสหลัก” ของสังคม โดยสังคมสมัยใหม่อิงอยู่กับความเป็นเหตุเป็นผล ระเบียบวินัย และประโยชน์สุข ได้สถาปนาตัวตนขึ้นมาด้วยอาศัยปฏิบัติการกลบเกลื่อน “สิ่งรกหูรกตา” อันมากมาย ซึ่งเป็นปฏิบัติการเชิงอำนาจในรูปของการทำตามหลักวิชาเกือบทั้งสิ้น
การวิเคราะห์ในมิติใหม่เรื่องอำนาจเลื่อนจากระดับมหภาค (เช่น อำนาจปกครองรัฐ) มาสู่ระดับจุลภาค (เช่น อำนาจในโรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล และพื้นที่ประเภทอื่นๆ) จุลมิติของอำนาจดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับกรอบความรู้ความคิดของสังคมแต่ละยุคสมัยด้วยปฏิสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ผ่านสิ่งที่ฟูโกต์เรียกว่า วาทกรรม หรือบรรดาคำพูดข้อเขียนทั้งปวงที่ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ในด้านต่างๆ ผลิตขึ้นและเผยแพร่ออกไปภายในกรอบความรู้เหล่านั้น อัตบุคคลเป็นมายาภาพที่ประกอบสร้างขึ้นด้วยเครือช่ายอำนาจทางสังคมและวาทกรรม ฟูโกต์มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวิชาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ให้ก้าวไปในแนวหลังสมัยใหม่
ผลงานสำคัญเล่มแรกของฟูโกต์ซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ในแนวคิดของเขาอย่างชัดเจน นั่นคือ จิตวิปลาสกับภาวะเสียสติ ประวัติศาสตร์จิตวิปลาสในยุคคลาสสิก หรือ Madness and Civilization: A History of Insanity in the Age of Reason พูดถึงจิตวิปลาสว่าไม่ใช่สภาวะที่มีลักษณะแน่นอนตายตัวตามธรรมชาติ แต่เป็นสภาวะที่ถูกนิยามขึ้นด้วยปฏิบัติการทางสังคมและเป็นที่รับรู้ในสถานะต่างๆ กันไปในแต่ละยุคสมัยของประวัติศาสตร์ โดยศึกษาขั้นตอนต่างๆ ที่สถาบันทางสังคมในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 ค่อยๆ เปลี่ยนสถานะของ “ภาวะความเป็นบ้า” ไปสู่ “อาการป่วยทางจิต” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ดำเนินควบคู่กันไปกับการเชิดชูหลักวิชาเพื่อสถาปนาสังคมสมัยใหม่
หนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่งของฟูโกต์ซึ่งก่อให้เกิดวิวาทะอย่างกว้างขวางใหญ่โตในหมู่ปัญญาชนฝรั่งเศส คือ ถ้อยคำกับสรรพสิ่ง โบราณคดีแห่งศาสตร์ว่าด้วยมนุษย์ หรือ The Order of Things: An Archeology of the Human Sciences ที่มุ่งหมายจะสืบค้นดูความเป็นมาของการสถาปนาศาสตร์ที่หันมาจัดวาง “มนุษย์” ให้เป็นวัตถุแห่งการศึกษา เป็นการขุดค้น หรือโบราณคดี ซึ่งเป็นการสำรวจลงไปในเอกสารชั้นต่างๆ เพื่อค้นหาโครงสร้าง (กรอบความรู้) ทางความคิดของแต่ละยุคสมัย ซึ่งเรียกว่า วาทกรรม
กรอบความรู้ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้นอิงอยู่กับการเล็งเห็นความคล้ายคลึงระหว่างสิ่งต่างๆ รู้ว่าอะไรเหมือนกับอะไร แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 17 และ 18 ก็เกิดการตัดขาดขึ้นในโลกของความรู้ กรอบความรู้ใหม่เน้นการแยกแยะความแตกต่างระหว่างสรรพสิ่ง โดยอาศัยการชั่ง ตวง วัด และการจัดประเภทสิ่งต่างๆ ตามคุณสมบัติเฉพาะ อัตตลักษณ์และความแตกต่างเหล่านี้สามารถแสดงได้ด้วยภาษา ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถสะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างโปร่งใส
ครั้นถึงศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุคที่สังคมตะวันตกก้าวเข้าสู่สมัยใหม่ กรอบความรู้ได้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญต่อสาเหตุของสรรพสิ่ง คือ อะไรกำหนดให้เกิดอะไร ประวัติศาสตร์กลายเป็นกรอบแม่บทของความรู้ทั้งปวงในฐานะคำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุ ประการต่อมา มโนทัศน์เกี่ยวกับ “มนุษย์” ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นวัตถุแห่งการศึกษา ในฐานะที่เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโภคทรัพย์ สังคม และภาษา และนี่คือที่มาของศาสตร์ว่าด้วยมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ดำรงฐานะเป็นทั้งอัตบุคคลผู้กระทำและวัตถุที่ถูกกระทำ
ต่อมาภายหลัง (ปี 1969) ฟูโกต์ขยายความแนวคิดเรื่องกรอบความรู้และวาทกรรมอย่างละเอียดในหนังสือชื่อ โบราณคดีแห่งความรู้ หรือ The Archeology of Knowledge โดยเน้นย้ำว่ากรอบความรู้ในประเด็นใดประเด็นหนึ่งในยุคหนึ่งๆ เป็นเสมือนขอบฟ้าทางความคิดที่ครอบผู้คนในยุคนั้นๆ ไว้ เมื่อวิเคราะห์ในแง่วาทกรรมกรรม จะเห็นว่าแท้ที่จริงก็อิงอยู่กับฐานคิดเดียวกัน เช่น “ที่นี่ไม่ต้อนรับโสเภณี” กับ “ที่นี่ เราต้อนรับทุกคนแม้แต่โสเภณี”
ในยุคหนึ่งๆ วาทกรรมในประเด็นต่างๆ มีจุดกำเนิดจากกลุ่มคนที่สังคมเชื่อว่าสามารถเข้าถึงสัจจธรรม ทำให้คำพูดของคนกลุ่มดังกล่าวเป็นที่เชื่อถือ ในสังคมก่อนสมัยใหม่ เช่นยุคกลางของยุโรป คนเหล่านี้อาจจะเป็นนักบวชหรือเจ้าศักดินา แต่เมื่อถึงสมัยใหม่ (นับจากศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา) อำนาจประกาศิตดังกล่าวได้มาตกแก่กลุ่มผู้ศึกษาในเรื่องนั้นๆ จนมีความเชี่ยวชาญ อันได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ วาทกรรมจะไหลเวียนเผยแพร่ออกไป และถูกฉกฉวยด้วยอำนาจประเภทต่างๆ รวมทั้งผู้คนจำนวนมากมาย กลายเป็นวัตถุนิรนามที่ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงสาธารณะ
หนังสือเรื่องเฝ้าดูและลงโทษ กำเนิดของคุก หรือ Discipline and Punish: The Birth of the Prison ตีพิมพ์ในปี 1975 ครอบคลุมสถาบันทางสังคมในโลกสมัยใหม่เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น คุก โรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล หรือ กองทัพ เชื่อมโยงการขุดค้นวาทกรรมเข้ากับการวิเคราะห์ปฏิบัติการสังคมในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสอบสวนความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับอำนาจ ตามวิธีการที่ฟูโกต์เรียกว่า การสืบสาว หรือวงศาวิทยา ในเรื่องนี้อำนาจเป็นการควบคุมผ่านกระบวนการสร้างบรรทัดฐาน ระเบียบวินัย คืออุปกรณ์สำคัญของอำนาจในอันที่จะกำกับผู้คนให้อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน โดยการควบคุมนี้เป็นไปในระดับรายละเอียดของชีวิตประจำวันหรือระดับจุลภาคจนถึงขั้นแผ่ซึมเข้าไปในวัตรปฏิบัติของร่างกายมนุษย์ “จุลฟิสิกส์แห่งอำนาจ” นี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 18 จากความตระหนักของรัฐที่ว่า สิ่งที่ตนต้องบริหารอย่างแท้จริงนั้นมิใช่ดินแดน หาดแต่เป็น “ประชากร” ผู้คนจึงกลาสถานะมาเป็นทรัพยากรประเภทหนึ่งของรัฐต้องเข้าควบคุมเพื่อใช้ประโยชน์ การเมืองหันมาจัดการบริการ “ชีวิต” ของผู้คนอย่างเอาจริงเอาจังภายใต้อำนาจที่ฟูโกต์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“ชีวอำนาจ” (biopower)
เฝ้าดูและลงโทษ กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญยิ่งในวงวิชาการสังคมศาสตร์ มโนทัศน์ว่าด้วย “จุลฟิสิกส์แห่งอำนาจ” มีคุณูปการต่อควาเข้าใจสังคมสมัยใหม่เทียบเท่ากับมโนทัศน์ว่าด้วยการขูดรีด ที่นายทุนกระทำต่อผู้ใช้แรงงานตามที่มาร์กซ์ได้เคยวิเคราะห์ไว้ในศตวรรษก่อนหน้าเลยทีเดียว
ในปีถัดมา (1976) ฟูโกต์ได้ตีพิมพ์หนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่งคือ ประวัติศาสตร์แห่งเพศวิถี เล่ม 1 เจตจำนงในความรู้ หรือ The History of Sexuality, Vol. 1, An Introduction) ฟูโกต์เชื่อมโยงการกระตุ้นให้เกิดวาทกรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างล้นหลามในช่วงศตวรรษที่ 19 เข้ากับเจตจำนงของอำนาจสังคมที่จะเข้าไปควบคุมประชากรถึงในส่วนที่ลึกเร้นเป็นส่วนตัวที่สุด
สำหรับประวัติศาสตร์แห่งเพศวิถี เล่มต่อๆ มานั้น หันเหความสนใจมาสู่ประเด็นเรื่อง “อัตตบุคคล” วิธีการที่ปัจเจกบุคคลพยายาม “สร้างตัวตน” ของตนเองด้วยตนเอง โดยพิจารณาเรื่องนี้ในยุคกรีกและโรมันโบราณ
ในช่วงหัวเลี้ยวระหว่างทศวรรษ 1970 กับ 80 ฟูโกต์กลายเป็นขวัญใจของนักวิชาการหนุ่มสาวในหลายภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ฟูโกต์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1984
ที่มา: มิแช็ล ฟูโกต์. 2547. ร่างกายใต้บงการ ปฐมบทแห่งอำนาจในวิถีสมัยใหม่.
