ประการที่หนึ่ง วาทกรรม คือ อะไร
“วาทกรรม” คือ คำพูด หรือ ข้อความ หรือ สัญลักษณ์ อาจเป็นวลี ประโยค หลายประโยค หรือ หลายย่อหน้า หรือ เป็นหนังสือทั้งเล่ม เรื่องราว ตำนาน นิยาย หรือ เรื่องเล่า ชุดความคิด ชุดความหมาย หรือ งานเขียน เช่น คัมภีร์ ตำรา เอกสาร หรือ กฏหมาย หรือ นโยบายสาธารณะ หรือ อาจเป็นภาพ เช่น ภาพหน้าปกหนังสือแสดงวาทกรรมความสวยของผู้หญิง
ความสำคัญของวาทกรรมอยู่ที่อำนาจ เรียกว่า “อำนาจวาทกรรม” (discursive power) การศึกษาทางสังคมศาสตร์สนใจ วาทกรรมที่มีอำนาจครอบงำ (dominant discourse) อำนาจของวาทกรรมถักทอ (fabricate) หรือ ฝังลงในสมอง (embaded in the brain) คนที่อยู่ใต้อำนาจวาทกรรมจึงยอมรับโดยดุษณี อันที่จริงเป็นการกดทับ (subjection) คนให้มีตำแหน่งต่ำกว่าตัวประธานทางวาทกรรม (discursive subject) วาทกรรมมีอำนาจและการครอบงำแตกต่างกัน หากครอบงำมาก เรียกว่า การครองอำนาจนำ (hegemony) ในทางตรงข้าม วาทกรรมที่มีอำนาจครอบงำน้อย สาเหตุอาจมาจากการทำงานของกลไกการครอบงำถูกคนตอบโต้ด้วยเหตุผลต่างๆ อำนาจวาทกรรมจึงถูกลบเลือนและหายไป
โดยสรุป “วาทกรรม” คือ ชุดความคิดที่อธิบายความจริงและกำหนดเหตุผลซึ่งมีอัตลัษณ์และมีอำนาจครอบงำสังคม ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
การก่อรูปวาทกรรม (discursive formation) เป็นประเด็นการประกอบสร้างวาทกรรมของตัวแสดง (actors) ซึ่งเป็นประเด็นหลักของการศึกษาวาทกรรม เช่น “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นวาทกรรมการพัฒนาโลกของสหประชาชาติ ค.ศ. 2016-2030
การจัดระเบียบวาทกรรม (the order of discourses) นักวิเคราะห์วาทกรรมบางคน เช่น ฟูโกต์ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบ หมายถึง การนำข้อความที่อยู่กระจัดกระจายมาจัดให้เป็นระเบียบ โดยกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล ทำบันทึกเหตุการณ์ และการสร้างกรอบการวิเคราะห์ ซึ่งเป็นวิธีการในรายละเอียดที่ทำให้เห็นการก่อรูปของวาทกรรม ทำให้เกิดแบบแผนของการเป็นวาทกรรมที่แตกต่างกัน เช่น แบบแผนของการเป็นวาทกรรมในโรงพยาบาล คือการปรึกษาหารือกันระหว่างคนไข้กับแพทย์
แนวทางการศึกษาวาทกรรมการเมือง สังคม และ วัฒนธรรม (discourse approach to politics, society and culture) การศึกษาวาทกรรมมีแนวทางหลากหลาย มีพื้นฐานมุมมองทางทฤษฎีและวิธีวิทยาที่ใช้ในการศึกษา ซึ่งปรากฏเป็นแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมและแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์
วาทกรรมมีหลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ วาทกรรมที่ครอบงำอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะมีวาทกรรมใหม่เข้ามาท้าทายอยู่ตลอด เช่น วาทกรรมการพัฒนาของผู้เชี่ยวชาญเป็นวาทกรรมครอบงำ ขณะที่มี “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” เป็นวาทกรรมท้าทาย
ประการที่สอง “สังคมกับวาทกรรมเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
ตามความเป็นจริงแล้ว สังคมกับวาทกรรมเกี่ยวข้องกันตลอด คนใช้ภาษา คำพูด หรือ ข้อความ บางครั้งเป็นวาทกรรมที่มีอำนาจ บางครั้งก็ไม่เป็น ลาคราว (Laclau) และมูฟ (Mouffe) เห็นว่า การปฏิบัติการทางสังคมทั้งหมดล้วนเป็นวาทกรรม การปฏิบัติทางสังคมกับการปฏิบัติทางวาทกรรมไม่อาจแยกออกจากกันได้ ขณะที่แฟร์คลาฟ (Fairclough) และ วูดัก (Wodak) เห็นว่าแยกออกจากกันได้
ประการที่สาม “การวิเคราะห์วาทกรรมคืออะไร และมีเหตุผลและมุมมองอย่างไร”
เป็นการอธิบายวาทกรรมในภาพกว้างก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์
ประการที่สี่ “การวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์คืออะไร และมีแนวทางวิเคราะห์อย่างไร”
วิธีวิทยาของนักวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์คนสำคัญ 6 คน ซึ่งมีแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์แตกต่างกัน ได้แก่ (1) ฟูโกต์ (Foucault); (2) คูเซลเล็ค (Koselleck); (3) ลาคราว (Laclau); (4) แฟร์คลาฟ (Fairclough); (5) วูดัก (Wodak); (6) ฟาน ไดก์ (Van Dijk)
ความหมายของวาทกรรม
เบเกอร์และเอ็ลเล็ค (Baker & Ellet, 2011: 30-31) อธิบายว่า วาทกรรมมีหลายความหมายและบ่อยครั้งมีความหมายหลวมๆ
ความหมายแรก รูปแบบการใช้ภาษา หรือภาษาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ความหมายที่สอง มีความหมายเจาะจงถึงภาษาที่ใช้พูดกัน (spoken language) มีตัวกำกับคำพูด (discourse maker) เช่น “Well” “ท้ายที่สุดนี้”
ความหมายที่สาม หมายถึง ภาษาที่เหนือกว่าระดับประโยคหรืออนุประโยค (language above the sentence or above the clause) และสามารถนำไปใช้วิเคราะห์โครงสร้างภาษาและปฏิบัติการจริงได้
ความหมายที่สี่ หมายถึง บริบทเฉพาะของการใช้ภาษา (particular contexts of language use) คล้ายกับชนิดของตัวบทหรือประเภทของภาษาเขียน เช่น คำว่า “วาทกรรมการเมือง” (political discourse) หมายถึงชนิดของภาษาที่ใช้ในบริบทการเมือง
ความหมายที่ห้า หมายถึง ความคิดทางวาทกรรมเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะ (particular topics) เช่น วาทกรรมอาณานิคม (colonial discourse) บางครั้งหมายถึงทัศนคติต่อหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
ความหมายที่หก ความหมายของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1972: 49 as cited in Baker & Ellet, 2011: 31) วาทกรรม คือ “การปฏิบัติซึ่งก่อรูปวัตถุ (object) ของสิ่งที่เขาพูดอย่างเป็นระบบ”
ความหมายที่เจ็ด ซันเดอร์แลนด์ (Sunderland, 2004 as cited in Baker & Ellece, 2011: 31) ยำเอาความคิดของฟูโกต์ไปขยายความและตั้งชื่อวาทกรรมเฉพาะ
ฟูโกต์เห็นว่า ทุกอย่างที่คนคิดและทำความเข้าใจล้วนกระทำผ่านทางวาทกรรม แม้คนสามารถพูดถึงสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แต่น่าประหลาดที่คนกลับเลือกพูดตามกรอบแคบๆ ตามวาทกรรมของตน ตัวอย่างเช่น ชุดความคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ชาวตะวันตกอาจมองว่าสาเหตุมาจากระบบการป้องกัน ส่วนคนไทยอาจนึกถึงโชคลางหรือโทษตัวบุคคล
เราต้องศึกษาประวัติความคิด (history of ideas) เพื่อสืบย้อนไปหาวงศาวิทยา (genealogy) ของความคิดนั้น
วิเคราะห์ความหมายวาทกรรมของฟูโกค์
คำนิยามวาทกรรมของฟูโกต์อาจจำแนกได้เป็นสามส่วน 1) การปฏิบัติ 2) การก่อรูปวัตถุ 3) อย่างเป็นระบบ
1) การปฏิบัติ – การปฏิบัติทางวาทกรรม (discursive practice) ซึ่งฟูโกต์ให้ความสำคัญกับการก่อรูปวาทกรรม (discursive information) การศึกษาการก่อรูปวาทกรรม นับเป็นวิธีวิทยาหลักของการวิเคราะห์วาทกรรมของฟูโกต์ การปฏิบัติทางวาทกรรมกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นวาทกรรมสัมพันธ์กัน ยังมีการผลิตซ้ำวาทกรรมอยู่ตลอด เช่น เรารู้ว่า คำว่า “คนไข้” เป็นวาทกรรม แต่ถ้าแพทย์คนหนึ่งเรียกผู้ป่วยคนหนึ่งว่า “คนไข้” การปฏิบัติของแพทย์ ย่อมเป็นการผลิตซ้ำวาทกรรม
2) การก่อรูปวัตถุของสิ่งที่เขาพูด – ฟูโกต์หมายถึง คำพูดหรือข้อความที่ใช้ในวาทกรรมมีผลเป็นการกำหนดตำแหน่งวัตถุที่เขาพูด ซึ่งก็คือตำแหน่งทางวาทกรรมนั่นเอง คำว่า “คนไข้” เป็นวาทกรรม เพราะเป็นคำที่กำหนดตำแหน่งผู้ป่วยให้ต่ำกว่าแพทย์ คือการก่อรูปความเป็นคนไข้ ผลที่ตามมา คือ เมื่อผู้ป่วยยอมรับว่าตนเป็นคนไข้แล้ว ก็ต้องเชื่อฟังแพทย์และพยาบาล
3) คำว่า “อย่างเป็นระบบ” ของฟูโกต์ – กระบวนการทางสังคมที่สัมพันธ์กับการก่อรูปตัวตนอันเกี่ยวข้องกับกลไกสังคม (อำนาจ/ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และ ความรู้) และการสื่อสารออกมาทางภาษา ความรู้กับอำนาจเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะความรู้คือความจริง ผู้ที่จะบอกได้ว่าอะไรคือความจริง ก็คือคนที่มีอำนาจ
ชุดความคิดต่างๆ ได้ผ่านการต่อสู้กันมาอย่างโชกโชนในประวัติศาสตร์ มาเป็นตัวกำหนดขนบประเพณีและวิธีการ โดยผ่านผู้ที่เป็นตัวแทน (agent) ของวาทกรรมนั้นๆ
สำหรับการก่อรูปตัวตน (subjectivity) ฟูโกต์อธิบายว่าคนหรือปัจเจกบุคคลอาจมีตัวตน โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งจากทั้งหมดสามวิธี คือ (1) การแบ่งปฏิบัติ (dividing practices) (2) การจำแนกทางวิทยาศาสตร์ (scientific classification) (3) การกำหนดตัวตนด้วยตนเอง (subjectification)
สรุป คำว่า “ตัวตน” (subject) และ “กระบวนการก่อรูปตัวตน” (subjectivity) มีวาทกรรมเป็นตัวแสดง (actor) ในประโยคและเป็นประธานของประโยค “ประธาน” เป็นผู้ก่อรูปวาทกรรมหรือเป็น “ประธานทางวาทกรรม” เช่น วาทกรรมทางการแพทย์ก่อรูป “คนไข้”
เหตุผลของการศึกษาวาทกรรมมาจากปัญหาอุดมการณ์ (ideology) ที่จำกัดการศึกษาไว้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบความคิด (a system of ideas) ซึ่งอาจทำให้ผู้ศึกษาไม่สนใจความเป็นจริง จึงหันไปหาแนวคิดวาทกรรม (the concept of discourse) เน้นที่การต่อสู้กันทางด้านความหมายซึ่งเป็นอำนาจอย่างหนึ่งและความขัดแย้งทางอำนาจด้านอื่น ตามความคิดของนักวิชาการเห็นว่า วาทกรรมมีความยืดหยุ่นกว่าอุดมการณ์ในแง่ที่ให้ความสำคัญกับการก่อรูปความคิดและพื้นที่ทางสังคม และความคิดมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
ฟูโกต์ เห็นว่า วาทกรรมมีวิธีการทำงานพื้นฐาน 4 วิธี ได้แก่ (Whiskas, 2012: 6-7)
(1) วาทกรรมสร้างโลก วาทกรรมเป็นสายโซ่ของภาษาที่มัดเราเป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคมร่วมกัน มีบทบาทสำคัญในการประกอบสร้างความเป็นจริงทางสังคม
(2) วาทกรรมให้กำเนิดความรู้และความจริง ความรู้ทุกอย่างถูกจัดการผ่านโครงสร้าง การเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ก่อนที่จะถูกสร้างไปสู่ภาษา
(3) วาทกรรมมีอำนาจครอบงำคนที่พูด เช่น วาทกรรมทางการแพทย์ แพทย์จะเป็นคนพูด เนื่องจากวาทกรรมกำหนดให้แพทย์มีอำนาจเหนือกว่าคนไข้
(4) วาทกรรมสัมพันธ์กับอำนาจ เช่น แพทย์มีอำนาจพูดถึงความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ แพทย์จึงมีอำนาจให้คำแนะนำความประพฤติของคนไข้
ยิ่งกว่านั้น วาทกรรมยังมีความหลากหลายเสมอ เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ
(1) สังคมและวัฒนธรรมถูกประกอบสร้างออกมาเป็นวาทกรรมจำนวนมากและแข่งขันกัน
(2) วาทกรรมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
(3) วาทกรรมแบ่งเป็นวาทกรรมย่อยตามกฏเกณฑ์ที่ใช้ควบคุม
ที่มา: เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ. 2566. วิธีวิทยาของฟูโกต์และวาทกรรมวิพากษ์. บริษัท เคล็ดไทย จำกัด.
