วงศาคณาญาติ
ฟรีดิช นิทเช่ (Friedrich Nietzsche) มีอิทธิพลต่อฟูโกต์อย่างมาก ในแง่วิพากษ์วิจารณ์ระบบศีลธรรมและอำนาจในสังคมสมัยใหม่และในการเสนอแนวคิดประวัติศาสตร์แบบสาแหรกที่ต้องการเผยให้เห็นขั้นตอน กระบวนการ รวมถึงวาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเผยตัวซึ่งนิทเช่ให้ความสำคัญ
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) แนวการวิเคราะห์แบบถอดแยกเรือนร่าง (disembodiment) ของฟูโกต์มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของเวเบอร์ ในเรื่อง ความเป็นเหตุเป็นผลเชิงเครื่องมือ (Instrumental Rationality) และระบบราชการ (bureaucracy) โดยเวเบอร์ศึกษาเหตุผลในระดับสถาบัน ฟูโกต์ศึกษาเหตุผลในระดับเรือนร่างที่อยู่ภายใต้การสอดส่องและควบคุมของสังคม ฟูโกต์อาศัยฐานคิดเวเบอร์เสนอแนวคิดเรือนร่างที่ว่านอนสอนง่าย (docile bodies) ในฐานะเรือนร่างที่ถูกถอดแยกและควบคุมด้วยระบบเหตุผลของสังคม
ในแง่ญาณวิทยาและภววิทยานั้น ฟูโกต์ได้รับอิทธิพลจากมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) ภายใต้มโนทัศน์ “สัต-ใน-โลก” (Being-in-the-World) การดำรงอยู่ของมนุษย์เป็นการที่พวกเขาถูกโยนเข้าไปในโลกทางสังคมที่ดำรงอยู่ก่อนหน้า ต่างกันตรงที่ “สัต” ของไฮเดกเกอร์มีศักยภาพและเพิ่มพูนคุณค่าของตนได้ แต่ฟูโกต์กลับเป็น “สัต” ที่ถูกกระทำอย่างทารุณโดยสังคม รวมถึงแนววิเคราะห์แบบ “ถอดแยกเรือนร่าง” ในฐานะผู้ถูกกระทำที่ถูกแยกขาดจากความสัมพันธ์ทางสังคมแทบกล่าวได้ว่า สำหรับฟูโกต์ “สัต” ไม่ได้ดำรงอยู่ “ใน-โลก” แต่อย่างใด
ในช่วงจริยศาสตร์ ไฮเดกเกอร์เห็นว่า “การดูแลตัวเอง” คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การยกระดับ “สัต-ใน-โลก” ฟูโกต์เห็นว่า “การดูแลตัวเอง” เป็นปฏิบัติการอันแยบยลของเสรีภาพ ต่างกันตรงที่ไฮเดกเกอร์เห็นว่า “สัต” เป็นสิ่งที่มีแก่นสาร แต่ฟูโกต์เห็นว่า เรือนร่างขององค์ประธานไร้แก่นสาร พร้อมอาศัยแนวคิดการถอดแยกในการวิเคราะห์เรือนร่าง ที่มีข้อจำกัดทางญาณวิทยาและภววิทยาของฟูโกต์ ส่งผลให้ เรือนร่างที่มีชีวิตได้หายไปจากกรอบการวิเคราะห์ ขณะที่ปฏิบัติการของวาทกรรมได้ถูกตอกย้ำแทน
แนวคิดเรื่องการปกครอง (Governmentality) และชีวอำนาจ (Biopower) ของฟูโกต์ล้วนสัมพันธ์กับอำนาจอธิปไตย ฟูโกต์กล่าวถึงคุณูปการของโธทัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ว่าเป็นนักปรัชญาคนแรกที่มีเป้าหมายหลักในการคุ้มครอง/รักษาชีวิตมนุษย์ อันเปรียบเสมือนปลายทางขององค์อธิปัตย์ (Sovereign) และอำนาจอธิปไตยซึ่งถูกสานต่อในฐานะเทคนิคการปกครองชื่อชีวอำนาจ ฌอง ฌาค รุสโซ่ (Jean Jacques Rousseau) มีส่วนช่วยให้ฟูโกต์มองเห็นแนวทางของอำนาจอธิปไตยภายใต้ปฏิบัติการปกครองของรัฐ ชีวอำนาจคือเทคนิคการปกครองที่ได้รับการปูพื้นจากหลักการซึ่งได้รับการสถาปนาโดยนักปรัชญาสำนักอรรถประโยชน์นิยม ซึ่งคำนวณผลประโยชน์ที่ไม่ได้ย้อนกลับไปหาแค่รัฐ [แต่] คือผลประโยชน์สำหรับทุกคน ฟูโกต์มีการใช้แนวคิดสรรพทัศน์ (Panopticon) ที่ว่าด้วยสถาปัตยกรรมเรือนจำ ของเจเรที เบนแธม (Jeremy Bentham) ด้วย
บุกเบิกแผ้วถางและสร้างครอบครัว
วิธีศึกษาประวัติศาสตร์ของฟูโกต์มี 2 ช่วง ช่วงแรกคือโบราณคดี (Archeology) – ประวัติศาสตร์แบบสาแหรก/วงศาวิทยา (Genealogy) เผยให้เห็นกระบวนการ ขั้นตอน และขณะต่างๆ ที่วาทกรรมและปัจจัยทางสังคมมาปะทะประสานกันจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายใน “โบราณคดี” โดยให้ความสำคัญกับการเปิดเผยตัวตามแบบแนวคิดของนิทเช่ และชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีหรือกลไกอำนาจมากับวาทกรรมในการสร้างเรือนร่างมนุษย์และทำลายเรือนร่างนั้นลง ประวัติศาสตร์แบบสาแหรกมีความคาบเกี่ยวกับการศึกษาวาทกรรม (Discourse) วาทกรรม คือ ที่ที่อำนาจและความรู้บรรจบกัน เขาสนใจกฏเกณฑ์ที่ทำให้วาทกรรมปรากฏเป็นรูปเป็นร่างรวมทั้งบรรดาเทคนิควิธีที่เกี่ยวข้อง เขาศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมกับสิ่งที่ไม่ใช่วาทกรรมผ่านมโนทัศน์ “กลไกกำกับความสัมพันธ์” (Dispositif) ซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมกับสิ่งที่ไม่ใช่วาทกรรมที่ทำหน้าที่เชิงยุทธศาสตร์ตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนให้กับสังคม
ฟูโกต์ได้กรุยทางวิธีพิจารณาอำนาจอธิปไตย (sovereignty) ในฐานะที่เป็นหนึ่งในอำนาจสำคัญในโลกสมัยใหม่ด้วย เป็นการรวมศูนย์และผูกขาดสมรรถนะในการสร้างความหวาดกลัวแก่คนในสังคมจนทำให้การดูแลชีวิตโดยรัฐเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เทคโนโลยีแห่งอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นระเบียบวินัย การปกครอง หรืออธิปไตย ต่างมี “ประชากร” (population) เป็นเป้าหมาย แนวคิดพิจารณา “เรือนร่าง” (body) ของมนุษย์จึงเป็นอีก “เส้นทาง”สำคัญที่ฟูโกต์บุกเบิกไว้
แนวคิดที่จะมาเสริมฟูโกต์ในด้านญาณวิทยาและภววิทยา คือแนวคิดแบบแฝงฝังเรือนร่าง (embodiment) เอมิล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) เสนอการแฝงฝังองค์ประธานเข้าไปในเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมและจัดวางเรือนร่างที่ถูกแฝงฝังไว้ที่ศูนย์กลางการวิเคราะห์ นอร์เบิร์ต อีเลียส (Norbert Elias) พูดถึงการแบ่งสรรอำนาจในสังคมใหม่ ซึ่งจะทำให้บุคคลมีเสรีภาพเพิ่มขึ้น แนวคิดฮาบิทัส (Hanitus) ในงานปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) คือ ศักยภาพในการต่อต้านรวมหมู่หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ ดังกรณี ขบวนการสตรีนิยมที่มีประสบการณ์ที่สตรีได้รับการแฝงฝัง และตีตราจากเรือนร่างผู้หญิง มีการแฝงฝังเรือนร่างของสตรีเข้าไปใหม่อีกครั้ง ภายใต้การเปลี่ยนมุมมองจากผู้หญิงที่เป็นเหยื่อมาเป็นผู้กระทำการทางสังคมที่เท่าเทียม เดอลูซ และ โกตตารี เสนอแนวคิดการแฝงฝังเรือนร่างด้วยมโนทัศน์เรือนร่างไร้อวัยวะ (Body Without Organs) คือเรือนร่างที่ความปรารถนาเป็นตัวบ่งชี้เสรีภาพขององค์ประธานที่ไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด
ทายาท
ฟูโกต์เริ่มเสนอความคิดเรื่องเรือนร่างในหนังสือ Madness and Civilization ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรือนร่างธรรมชาติถูกแฝงฝังหรือหล่อหลอมกล่อมเกลาเป็นเรือนร่างทางสังคมผ่านวาทกรรม ความคิด ตลอดจนวัฒนธรรม โดยเฉพาะความมีเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้แพทย์ในการควบคุมเรือนร่างคนไข้อย่างไร เช่นเดียวกับในหนังสือ The Birth of Clinic ฟูโกต์ชี้ว่า ระบบการแพทย์เปิดโอกาสให้แพทย์ “จับจ้อง” (gaze) และบงการเรือนร่างของคนไข้ ต่อมา ฟูโกต์ได้พัฒนาแนวคิดการแฝงฝังเรือนร่างไปอีกขั้นในหนังสือชุด The History of Sexuality เป็นการเปลี่ยนการพิจารณาเรือนร่างจากผู้ถูกกระทำโดคโครงสร้างและวาทกรรมไปสู่เรือนร่างที่มีอิสระในการดูแลตนเอง เป็นผู้กระทำการที่มีศักยภาพที่จะบรรลุความปรารถนาของตน
การศึกษาการพัฒนาแนววิพากษ์ หรือ “การศึกษาหลังการพัฒนา” (Post-development Studies) การพัฒนาคือวาทกรรมที่อเมริกาสร้างขึ้นเพื่อแทรกแซงประเทศด้อยพัฒนาผ่านความช่วยเหลือเพื่อต่อสู้กับกกรณีารขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ วาทกรรมไม่ได้ปฏิบัติการแต่ลำพัง หากปฏิบัติร่วมกับองค์ประกอบอื่น ภายใต้กลไกกำกับความสัมพันธ์ในการสร้างองค์ประธานให้เป็นร่างทรงของอำนาจพร้อมกดทับไว้ กรณีประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้นำเข้าความมุ่งมั่นที่จะขจัดความยากจนและให้คนรับวินัยความไม่ยากจนไว้ในตัว กลไกกำกับความสัมพันธ์ด้านการพัฒนาประกอบด้วยการจัดการพื้นที่การพัฒนาด้วยเกณฑ์มาตรฐาน การสร้างตัวแทนขึ้นในพื้นที่ในรูปปราชญ์ชาวบ้าน ประธรรมกลุ่มจัดตั้ง และการแสดงป้ายสัญลักษณ์หน่วยงานที่ดำเนินโครงการพัฒนาในพื้นที่ส่งผลให้การพัฒนาแลดูเป็นธรรมชาติ ถูกต้องชอบธรรม และจำเป็นต้องน้อมรับไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้ การศึกษาหลังการพัฒนาที่ได้รับอิทธิพลจากวงศาวิทยาของฟูโกต์จะปลดปล่อยผู้คนออกจากการครอบงำของความรู้ที่มากับการพัฒนา
ที่มา: อนุสรณ์ อุณโณ จันทนี เจริญศรี และสลิสา ยุกตะนันท์. 2558. อ่านวิพากษ์ มิเชล ฟูโกต์. สำนักพิมพ์ศยาม.
